วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การเขียนเรียงความจากรูปภาพ


บทอาขยาน ม.ต้น

รวมบทอาขยาน มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3

บทอาขยาน มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3

๏ ๏ พระอภัยมณี ๏ ๏ 
ตอนที่ ๑๙ 
ของ - สุนทรภู่ - 

พระฟังคำอ้ำอึ้งตะลึงคิด 
จะเบือนบิดป้องปัดก็ขัดขวาง 
สงสารลูกเจ้าลังกาจึงว่าพลาง 
เราเหมือนช้างงางอกไม่หลอกลวง 
ถึงเลือดเนื้อเมื่อน้องต้องประสงค์ 
พี่ก็คงยอมให้มิได้หวง 
แต่ลูกเต้าเขาไม่เหมือนคนทั้งปวง 
จะได้ช่วงชิงไปให้กระนั้น 
พี่ว่าเขาเขาก็ว่ามากระนี้ 
มิใช่พี่นี้จะแกล้งแสร้งเสกสรรค์ 
เพราะเหตุเขารักใคร่อาลัยกัน 
ค่อยผ่อนผันพูดจาอย่าราคี 
แล้วตรัสบอกลูกน้อยกลอยสวาท 
เจ้าหน่อเนื้อเชื้อชาติดงราชสีห์ 
อันรักษาศีลสัตย์กัตเวที 
ย่อมเป็นที่สรรเสริญเจริญคน 
ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา 
เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน 
ให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล 
พระเวทมนต์เสื่อมคลายทำลายยศ 
เพราะบิดามาด้วยอุศเรนนี้ 
คุณเขามีมากล้นพ้นกำหนด 
เจ้าทำผิดก็เหมือนพ่อทรยศ 
จงออมอดเอ็นดูพ่อแต่พองาม 



๏ ๏ โคลงดั้นวิวิธมาลี ๏ ๏ 
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ 
-พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) - 

๏ ลูกเสือควรยึดข้อ.................ภาษิต นี้เทอญ 
ควรพึ่งแต่ตัวเรา.................รอบด้าน 
บำเพ็ญฝึกฝนกิจ...................การช่วย ตนเทอญ 
ทั้งช่วยเพื่อนบ้านด้วย...........ดุษฎี 
๏ แม้เราปลงจิตพร้อม...............เพรียงกัน ฉะนี้นา 
ต่างฝ่ายต่างกระวี......................กระวาดถ้วน 
พยายามฝึกหัดสรร-...................พพิท ยาแฮ 
สยามจักหลั่งล้นล้วน...................เลศงาม 
๏ ชาติต้องการให้ช่วย.................ฉันใด ก็ดี 
อาจช่วยได้ดังความ.....................มุ่งเกื้อ 
ชูเทศเทอดไผท...........................เทียมเทศ อารย์พ่อ 
สมเกียยรติยศผู้เชื้อ......................ชาติไทย 


๏ ๏ กฤษณาสอนน้อง ๏ ๏ 
ของ - สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส 

๏ พฤษภกาสร............................อีกกุญชรอันปลดปลง 
โททนต์เสน่ห์คง.........................สำคัญหมายในกายมี 
๏ นรชาติวางวาย........................มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ 
สถิตทั่วแต่ชั่วดี...........................ประดับไว้ในโลกา 


ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ 

๏ ๏ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน 
และว่าด้วยงานนักขัตฤกษ์ ๏ ๏ 
พระราชนิพนธ์ โดย 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ 

๏ ๏ เห่ชมเครื่องคาว ๏ ๏ 

๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ 
หอมยี่หร่ารสฉุน 
ชายใดบริโภคภุญช์ 
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน 

๏ มัสมั่นแกงแก้วตา 
ชายใดได้กลืนแกง 
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด 
รสดีด้วยน้ำปลา 
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม 
โอชาจะหาไหน 
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส 
พิศห่อเห็นรางชาง 
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น 
รสทิพย์หยิบมาโปรย 
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง 
น่าซดรสครามครัน 
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า 
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม 
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ 
ใครหุงปรุงไม่เป็น 
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม 
รอยแจ้งแห่งความขำ 
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด 
คิดความยามถนอม 
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง 
ลดหลั่นชั้นชอบกล 
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า 
เจ็บไกลในอาวรณ์ 
๏ รังนกนึ่งน่าซด 
นกพรากจากรังรวง 
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า 
ใบโศกบอกโศกครวญ 
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง 
ผักหวานซ่านทรวงใน นพคุณ พี่เอย 
เฉียบร้อน 
พิศวาส หวังนา 
อกให้หวนแสวง ๚ 

หอมยี่หร่ารสร้อนแรง 
แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา 
วางจานจัดหลายเหลือตรา 
ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ 
เจือน้ำส้มโรยพริกไทย 
ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง 
พร้อมพริกสดใบทองหลาง 
ห่างห่อหวนป่วนใจโหย 
วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย 
ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ 
เป็นมันย่องล่องลอยมัน 
ของสวรรค์เสวยรมย์ 
ทำน้ำยาอย่างแกงขม 
ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น 
รสพิเศษใส่ลูกเอ็น 
เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ 
แกงคั่วส้มใส่ระกำ 
ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม 
ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม 
สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์ 
นอนเตียงทองทำเมืองบน 
ยลอยากนิทรคิดแนบนอน 
รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน 
ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง 
โอชารสกว่าทั้งปวง 
เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน 
ดุจวาจากระบิดกระบวน 
ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ 
เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน 
ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚ 


๏ ๏ เห่ชมเครื่องหวาน ๏ ๏ 

๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น 
แกมกับข้าวเหนียวสี 
เป็นนัยนำวาที 
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม 

๏ สังขยาหน้าตั้งไข่ 
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง 
๏ ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ 
วิตกอกแห้งเครือ 
๏ ลำเจียกชื่อขนม 
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย 
๏ มัศกอดกอดอย่างไร 
กอดเคล้นจะเห็นความ 
๏ ลุดตี่นี้น่าชม 
โอชาหน้าไก่แกง 
๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ 
นึกน้องนุ่งจีบกราย 
๏ รสรักยักลำนำ 
คำนึงนิ้วนางเจียน 
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด 
หลงหยิบว่ายาดม 
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน 
ร้อนนักรักแรมไกล 
๏ รังไรโรงด้วยแป้ง 
โอ้อกนกทั้งปวง 
๏ ทองหยอดทอดสนิท 
สองปีสองปิดบัง 
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ 
เรียมร่ำคำนึงปอง 
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม 
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล 
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส 
คิดสีสไลคลุม 
๏ ฝอยทองเป็นยองใย 
คิดความยามเยาวมาลย์ 
เคยมี 
โศกย้อม 
สมรแม่ มาแม่ 
เพียบแอ้อกอร ๚ 

ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสดง 
แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ 
แทรกใส่น้ำกะทิเจือ 
ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย 
นึกโฉมฉมหอมชวยโชย 
โหยไห้หาบุหงางาม 
น่าสงสัยใคร่ขอถาม 
ขนมนามนี้ยังแคลง 
แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง 
แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย 
งามสมส่อประพิมพ์ประพาย 
ชายพกจีบกลีบแนบเนียน 
ประดิษฐ์ทำขนมเทียน 
เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม 
สามหยิบชัดน่าเชยชม 
ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ 
เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน 
เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง 
เหมือนนกแกล้วทำรังรวง 
ยังยินดีด้วยมีรัง 
ทองม้วนมิดคิดความหลัง 
แต่ลำพังสองต่อสอง 
ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง 
สะอิ้งน้องนั้นเคยยล 
คิดบัวกามแก้วกับตน 
สถนนุชดุจประทุม 
หอมปรากฏกลโกสุม 
หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน 
เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน 
เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚ 


๏ ๏ เห่ชมผลไม้ ๏ ๏ 

๏ ผลชิดแช่อิ่มโอ้ 
หอมชื่นกลืนหวานใน 
รื่นรื่นรสรมย์ใด 
หวานเลิศเหลือรู้รู้ 

๏ ผลชิดแช่อิ่มอบ 
รสไหนไม่เปรียบปาน 
๏ ตาลเฉาะเหมาะใจจริง 
คิดความยามพิสมัย 
๏ ผลจากเจ้าลอยแก้ว 
จากช้ำน้ำตากระเด็น 
๏ หมากปรางนางปอกแล้ว 
ยามชื่นรื่นโรยแรง 
๏ หวนห่วงม่วงหมอนทอง 
คิดความยามนิทรา 
๏ ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น 
หวนถวิลลิ้นลมงอน 
๏ พลับจีนจักด้วยมีด 
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน 
๏ น้อยหน่านำเมล็ดออก 
มือใครไหนจักทัน 
๏ ผลเกดพิเศษสด 
คำนึงถึงเอวบาง 
๏ ทับทิมพริ้มตาตรู 
สุกแสงแดงจักย้อย 
๏ ทุเรียนเจียนตองปู 
เหมือนศรีฉวีกาย 
๏ ลางสาดแสวงเนื้อหอม 
กลืนพลางทางเพ่งพิศ 
๏ ผลเงาะไม่งามแงะ 
หวนเห็นเช่นรจนา 
๏ สละสำแลงผล 
ท่าทิ่มปิ้มปืนกาม เอมใจ 
อกชู้ 
ฤๅดุจ นี้แม่ 
แต่เนื้อนงพาล ๚ 

หอมตรลบล้ำเหลือหวาน 
หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ 
รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ 
หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น 
บอกความแล้วจากจำเป็น 
เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง 
ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง 
ปรางอิ่มอาบซาบนาสา 
อีกอกร่องรสโอชา 
อุราแนบแอบอกอร 
เรียกส้มฉุนใช้นามกร 
ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน 
ทำประณีตน้ำตาลกวน 
ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ 
ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์ 
เทียบเทียมที่ฝีมือนาง 
โอชารสล้ำเลิศปาง 
สางเกศเส้นขนเม่นสอย 
ใส่จานดูดุจเม็ดพลอย 
อย่างแหวนก้อยแก้วตาชาย 
เนื้อดีดูเหลือเรืองพราย 
สายสวาทพี่ที่คู่คิด 
ผลงอมงอมรสหวานสนิท 
คิดยามสารทยาตรามา 
มล่อนเมล็ดและเหลือปัญญา 
จ๋าเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม 
คิดลำต้นแน่นหนาหนาม 
นามสละมละเมตตา ๚ 


๏ ๏ เวนิสวาณิช ๏ ๏ 
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ 

๏ อันว่าความกรุณาปราณี 
จะมีใครบังคับก็หาไม่ 
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ 
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน 
เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ 
แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล 
เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น 
เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา 
ประดุจทรงวราภรณ์สุนทรสวัสดิ์ 
เรืองจรัสยิ่งมกุฏสุดสง่า 
พระแสงทรงดำรงซึ่งอาชญา 
เหนือประชาพสกนิกร 
ประดับพระวรเดชวิเศษฤทธิ์ 
ที่สถิตอานุภาพสโมสร 
แต่การุณยธรรมสุนทร 
งามงอนกว่าพระแสงอันแรงฤทธิ์ 
เสถียรในหฤทัยพระราชา 
เป็นคุณของเทวาผู้มหิทธ์ 
และราชาเทียมเทพอมฤต 
ยามบพิตรเผยแผ่พระกรุณา 

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ 


๏ ๏ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ๏ ๏ 
-พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒-๓ - 


๏ ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก 
ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี 
เจ้าพลายกระสันพันทวี 
รำลึกถึงนารีศรีมาลา 
ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วยพี่ 
จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา 
คิดพลางเดินพลางตามทางมา 
ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร 
แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก 
เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน 
ดูโครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ 
พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์ 
เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก 
แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน 
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล 
บ้างเหมือนกลิ่นภู่ร้อยห้อยเรียงราย 
ตรงตระพักเพิงผาศิลาเผิน 
ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย 
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทลาย 
เป็นวุ้งโว้งเพรงพรายดูลายพร้อย 
บ้างเป็นยอดกอดก่ายตะเกะตะกะ 
ตะขรุตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย 
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย 
บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ 
บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม 
บ้างโปปมเป็นปุ่มกะปุบกะปิบ 
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลับลิบ 
โล่งตะลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์ 
เหล่ามิ่งไม้ไทรโศกอยู่ริมห้วย 
ลมช่วยหล่นลอยกระแสสินธุ์ 
น้ำใสแลซึ้งถึงพื้นดิน 
ฟุ้งกลิ่นสุมามาลย์บานระย้า 
สัตตบุษย์บัวแดงขึ้นแฝงฝัก 
พรรณผักพาดผ่านก้านบุบผา 
แพงพวยพุ่งพาดพันสันตะวา 
ลอยคงคาทอดยอดไปตามธาร.... 
(ที่คุณพี่เมธีดำ ให้ความเห็นไว้ที่ #๓๓ ครับ) 




๏ ๏ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า ๏ ๏ 
ของ -พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) 

๏ วังเอ๋ยวังเวง 
หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน 
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล 
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน 
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ 
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน 
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล 
แลทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียวเอย..... 

๏ ความเอ๋ย ความรู้ 
เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว 
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป 
ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน 
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา 
ย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น 
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน 
กระแสวิญญาณงันเพียงนั้นเอย....... 

๏ ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร 
ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต 
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท 
ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย 
เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย 
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย 
โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัยเอย..... 




๏ ๏ โลกนิติคำโคลง ๏ ๏ 
ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง) 

๏ พึงอวยโอวาทไว้......ในตน ก่อนนา 
จึงสั่งสอนสาธุชน........ทั่วหล้า 
แต่แรกเร่งผจญ..........จิตอาต-มาแฮ 
สัตว์อื่นหมื่นแสนอ้า.....อาจแท้ทรมาน 

๏ คุณแม่หนาหนักเพี้ยง.....พสุธา 
คุณบิดรดุจอา.................กาศกว้าง 
คุณพี่พ่างศิขรา................เมรุมาศ 
คุณพระอาจารย์อ้าง..........อาจสู้สาคร 

๏ เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้......สุขสบาย 
เย็นญาติทุกข์สำราย........กว่าไม้ 
เย็นครูยิ่งพันฉาย............กษัตริย์ยิ่ง ครูนา 
เย็นร่มพระเจ้าให้............ร่มฟ้าดินบน 

๏ วิชาควรรักรู้................ฤๅขาด 
อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์.......ว่าน้อย 
รู้จริงสิ่งเดียวอาจ............มีมั่ง 
เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย..........ชั่วลื้อเหลนหลาน 


จบบทท่องจำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ครับ 

(ผมคลับคล้ายคลับคลาถึงอีกบทหนึ่งที่มีเนื้อความว่า) 

"ถึงหน้าวังดังประหนึ่งใจจะขาด 
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร 
โอ้ประคุณทูนเกล้าของสุนทร............... 

.....ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง 
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา 
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา 
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย 
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ 
พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย 
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย 
ไม่กล้ำกลายแกล้งเมินก็เกินไป 
ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก 
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน 
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป 
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน " 

จำไม่ได้ครับว่าเป็นของชั้นไหน 
แต่ของ ม.ศ.๓ ที่ไม่เป็นอาขยาน แต่ชอบ 
คือบทใน "นิทานเวตาล" 

๏ ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร 
มิอาจประสบพบสุข 
๏ ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก 
ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมา 

๏ จงจรเที่ยว เทียวบทไป 
พงพนไพร ไศละลำเนา 
๏ ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา 
แบ่งทุกขะเบา เชาวนะไวฯ 


๏ ชายหาญชาญเชี่ยวเทียวไพร สองขาพาไป 
บ่มัวบ่เมาเขลาขลาด 
๏ ขาเขาคือกิ่งพฤกษชาติ ช่อชูดูดาษ 
และดกด้วยดอกออกระดะ 
๏ ไป่ช้าเป็นผลปนคละ โต ๆโอชะ 
รสาภิรสหมดมวล 
๏ โทษหลายกลายแก้แปรปรวน เจือจุนคุณควร 
เพราะเหตุที่เที่ยวเทียวเดิน 

๏ จงจรเที่ยวเทียวบทไป 
พงพนไพร ไศละดำเนิน 
๏ ดุ่มบถด่วน ชวนจิตเพลิน 
ใดบ่มิเกิน เชิญบทจร ฯ 

๏ เชิญคะนึงซึ่งพระทินกร ฤาหลับฤานอน 
ธ เดินและด้นบนสวรรค์ 
๏ เธอมีความสุขทุกวัน หมื่นกัปแสนกัลป์ 
บ่อ่อนบ่เปลี้ยเพลียองค์ 

๏ จงจรเที่ยว เทียวบทไป 
ตั้งจิตใน ไพรพนพง 
๏ ดูทินกร จรจิรยง 
แสนสุขทรง ทุกขะบ่มี ฯ 

นอกจากนี้ยังมี สามัคคีเภทคำฉันท์ รู้สึกจะเป็นของ มศ.๔ 

" ๏ พวกราชมัลโดย พลโบยมิใช่เบา 
สุดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว 
๏ บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีร์รัว 
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว 
๏ แลหลังละลามโล หิตโอ้เลอะหลั่งไป 
เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย... "